วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติอื่น

วัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติอื่น

Woman dress culture of thailand that is influenced by other nations








ภณุวิชญ์ เวียงคำ  และคณะ








I3021 IS1  การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้


ภาคเรียนที่1     ปีการศึกษา  2558


คำนำ
      บทความเรื่อง วัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติอื่น  มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูล เรื่องวัฒนธรรทการแต่งกายที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติอื่นเพื่เป็นความรู้และแนวทางในการศึกษาของผู้ใช้งาน
       ขอบเขตการศึกษา คือข้อมูลเรื่องวัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติอื่น โดยคณะผู้เขียนได้ลงมติว่าจะศึษาข้อมูล ในขอบเขตในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงปัจจุบัน ว่ามีการรับวัฒนธรรมการแต่งกายจากชาติอื่น มามากน้อยเพียงใด
       คณะผู้ขัยนบทความ หวังว่าบทความเล่มนี้จะทำให้สตรีไทย ได้รับรู้ว่าการแต่งกายในปัจจุบันรับเอาแบบอย่างการแต่งกายมาจากชาติอื่นมากน้อยเพียงใดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน



                                                      ภาณุวิชญ์  เวียงคำ และคณะ
                                                            18 กันยายน 2558










สารบัญ
หน้า
คำนำ                                                                                                ก
สารบัญ                                                                                             ข
กิตติมากรรมประกาศ                                                                        ช

วัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีไทย
ที่ได้รับอิทธิพลจากชาติอื่น                                                                   
         การแต่งกายช่วงต้นรัตนโกสิทร์                                                  4
         การแต่งกายช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2                                   8
         การแต่งกายในสมัยปัจจุบัน                                                     11                   เอกสารอ้างอิง                                                                      ง
ข้อมูลผู้เขียน                                                                                      จ












วัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติอื่น
                  การแต่งกายที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาติตะวันตก ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมประจำชาติที่เป็นของตนเองมาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นศิลปะไทย มารยาทไทย ภาษาไทย อาหารไทย และชุดประจำชาติไทยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมีคุณค่า มีความงดงามบ่งบอกถึงเอกลักษณ์แห่งความเป็น "ไทย" ที่นำความภาคภูมิใจมาสู่คนในชาติ 
           การแต่งกายของไทยโดยเฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ซึ่งมีอายุยาวนานมากกว่า 200 ปีนั้น ได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับนับตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนกลาง ยุคเริ่มการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือ ยุค "มาลานำไทย" และ จนปัจจุบัน "ยุคแห่งเทคโนโลยีข่าวสาร" 
           แต่ละยุคสมัยล้วนมีรูปแบบการแต่งกายที่เป็นของตนเองซึ่งไม่อาจสรุปได้ว่า แบบใดยุคใดจะดีกว่า หรือ ดีที่สุด เพราะวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรม ล้วนต้องมีการปรับเปลี่ยนบูรณาการไปตามสิ่งแวดล้อมของสังคมแล้วแต่สมาชิกของสังคมจะคัดสรรสิ่งที่พอเหมาะพอควรสำหรับตน พอควรแก่โอกาส สถานที่และกาลเทศะ
ในสมัยปัจจุบันนี้แนวการแต่งตัวของเด็กไทยได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนนั้นอยู่มากหากย้อนอดีตไปการแต่งตัวของเด็กไทยจะอิงตามแฟชั่นกระแสหลัก หรือตามนักร้อง - นักแสดงที่โด่งดังราวกลับเดินออกมาจากปกเทปหรือนิตยสารแล้ว copy & paste  ออกมา ดูแล้วคล้ายสินค้าจากโรงงานผลิตเดียวกัน ทว่าตอนนี้  การแต่งตัวของเด็กไทยมีอยู่มากมายหลายแนวมากขึ้น มีความหลากหลายทางเทรนด์ให้เด็กไทยเราได้เอาตัวตนเข้าไปอิงในเทรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ รับอิทธิพลการแต่งตัวมาจากฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก  ทำให้เด็กไทยมีทางเลือกในการแต่งตัวที่มากขึ้น บางคนชอบแนวทางแต่งตัวจากฝั่งตะวันตก ก็จะแต่งตัวตามแบบตะวันตก บางคนชอบแนวทางแต่งตัวจากฝั่งตะวันออก ก็จะแต่งตัวตามแบบตะวันออก  มีแนวการแต่งตัวหนึ่งแนวที่อยากนำเสนอนั้นคือ  แนวการแต่งตัวของประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลี ตามกระแสความนิยมในญี่ปุ่นและเกาหลีเรื่องอื่นๆอีก เช่น การดื่มน้ำชาเขียว กินปลาดิบ เป็นต้น
กระแสความนิยมญี่ปุ่นและเกาหลีนั้นมีมาตั้งนานเกือบๆ 10 ปีแล้ว ในช่วงต้นๆ กระแสนี้ยังไม่แพร่หลายมากนัก จะมีแค่กลุ่มย่อยๆมากกว่า กลายเป็นกลุ่มที่มีลักษณะเพาะตัว เฉพาะบางข้อจำกัดเท่านั้นที่มีอำนาจในการเข้าถึงกระแสดังกล่าว  แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มย่อยๆนั้นกล่าวก็ได้ขยายวงกว้างออกไปจนทำให้มีผู้รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้กระแสความนิยมญี่ปุ่นและเกาหลีได้เป็นที่รู้จักกันไปทั่วแล้ว
             การที่เด็กไทยนั้นได้รับอิทธิพลการแต่งตัวแบบเด็กญี่ปุ่นและเกาหลีนั้น ทำให้นั้นเกิดการเลียนแบบและพยายามทำตัวให้เหมือนเด็กญี่ปุ่นและเกาหลี เนื่องจากเกิดจากการเทียบทางวัฒนธรรม และต้องการเป็นในแบบที่เชื่อว่าอยู่ในวัฒนธรรมที่มีชนชั้นที่สูงกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วการแต่งตัวของเด็กญี่ปุ่นและเกาหลีที่อยู่ในประเทศของต้นแบบนั้นจริงๆ นั้นมีการแต่งตัวที่มีสไตล์การแต่งตัวที่หลายหลายมากกว่าที่เด็กไทยประเทศไทยบริโภคอยู่มาก การที่เด็กไทยรับสไตล์การแต่งตัว มานั้น ยังถือว่าน้อยอยู่ในตอนนี้  เป็นแค่เพียงการเลียนแบบเฉพาะบางส่วน และค่อนข้างเป็นสภาวะไร้ราก กล่าวคือเป็นการ copy  ในส่วนของรูปแบบ แต่ไม่ได้ศึกษาถึงกระบวนการสร้างความเป็นญี่ปุ่นและเกาหลี อย่างไรก็ตามเด็กไทยก็มีแนวโน้มว่าจะรับเอาสไตล์การแต่งตัวของเด็กญี่ปุ่นและเกาหลีเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต 

                     การแต่งกายของวัยรุ่นในปัจจุบัน ถูกมองว่าน่าเกลียด ฝ่าฝืนจารีตประเพณี โดยเฉพาะการแต่งกายของวัยรุ่นหญิงที่นุ่งประโปรงสั้น ใส่เสื้อรัดรูป เกาะอก วัยรุ่นชายทำสีผม เจาะหู เจาะลิ้น เจาะคิ้ว ลักษณะการแต่งกายเหล่านี้อาจดูประหลาด ขัดหูขัดตาผู้ใหญ่ หลายคนอาจถามว่าวัยรุ่นไทยแต่งตัวเหมาะสมหรือไม่ ถูกกาลเทศะหรือไม่ เลียนแบบตะวันตกหรือไม่ ทำลายวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย ซึ่งเป็นการยอมรับวัฒนธรรมที่ผิดๆ  ของชาวต่างชาติเข้ามา  ในปัจจุบันเป็นปัญหาระดับชาติที่เราจะต้องนำมาคิดและพิจารณาว่าจะแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร  เยาวชนคือผู้ที่จะต้องรักษาวัฒนธรรมสืบต่อไป  จะเป็นอย่างไรถ้าเรารับแต่วัฒนธรรมที่ผิด  และลืมวัฒนธรรมของไทยเราเองส่งผลได้หลายด้านทำให้วัยรุ่นไทยนั้นประหยัดเงินค่าขนมเพื่อที่จะมาซื้อเสื้อผ้าและของแต่งตัวตามดาราไทยจนทำให้เงินที่จ่ายนั้นไม่พอจนต้องไปขอพ่อแม่เพิ่มแล้วก็ทำให้เสียการเรียนไปด้วยเพราะกว่าจะแต่งตัวมาโรงเรียนเสร็จก็ต้องแต่งหน้าเลียนแบบดาราก่อนกว่าจะได้มาโรงเรียนก็สายกันพอดีและยังส่งผลกระทบต่อสังคมไทยด้วยอย่าง
เช่น การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นเป็นต้น เหตุนี้ก็เกิดมาจากการแต่งตัวแบบโป๊ๆ
ตามดาราไทยเป็นส่วนหนึ่งด้วยเพราะฉะนั้นเราควรที่จะแต่งให้พอดีพองาม
พอเหมาะแค่นี้ก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาสังคมได้แล้ว   
           





                     การแต่งกายของวัยรุ่นไทยในปัจจุบันมักจะแต่งตัวเลียนแบบตามดาราซะส่วนใหญ่แต่การแต่งแบบนั้นทำให้เกิดเรื่องกับตัวคนที่แต่งได้เพราะดารา
มักจะแต่งตัวแบบเปิดเผยแต่ไม่หมดซึ่งการแต่ตัวแบบนั้นจะทำให้เพศตรง ข้ามรู้สึกมีอารมณ์แล้วก็จะทำให้เราเป็นอันตรายได้ซึ่งมันน่ากลัวมากแต่วัยรุ่นไทยก็ยังแต่งตัวตามดาราไทยอยู่ดีเพราะบางคนคิดว่าเป็นแฟชั่นแต่งไปแล้วคงจะดูดี สวย เท่ แต่ไม่รู้เลยว่ามันอาจจะเกิดอันตรายกับผู้แต่งได้เราเป็นวัยรุ่นก็จริงแต่เราอยู่ในช่วงของวัยเรียนเราควรแต่งแบบพอดีไม่ต้องแต่งเวอร์จนเกินไปที่ดาราแต่งแบบนั้นได้เพราะมันเป็นอาชีพของพวกเขาที่จะต้องแต่งตัวแบบนั้นเพราะฉะนั้นเราควรที่จะแต่งตัวแบบพอดี
                   การแต่งกายของสตรีไทยหลังสงครามโลกครั้งที่2ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 วัฒนธรรมการแต่งกายของไทยมีลักษณะเด่นด้านการนิยมแบบตะวันตกเพิ่มมากขึ้น

การแต่งกายของสตรี
              ส่วนการแต่งกายของสตรีนั้น มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าการแต่งกายของผู้ชาย โดยเฉพาะข้าราชการฝ่ายในต้องแต่งกายตามพระราชนิยม เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ฝ่ายในนุ่งจีบ พอถึงรัชกาลที่ ๔ เปลี่ยนเป็นนุ่งโจง ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็มีทั้งนุ่งจีบและนุ่งโจง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ถึงเครื่องแต่งตัวผู้หญิงไว้ว่า "เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ เสด็จกลับมาจากสิงคโปร์มิได้โปรดให้แก้อย่างไร นางในยังคงนุ่งจีบและห่มแพรสไบเฉียงกันตัวเปล่าอยู่อย่างเดิม จนถึงงานบรมราชาภิเษกครั้งหลัง พ.ศ. ๒๔๑๖ จึงดำรัสสั่งให้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวผู้หญิงเป็นแบบใหม่ คือให้คงแบบนุ่งจีบอย่างเดิมไว้แต่สำหรับแต่งกับห่มตาดเมื่อเต็มยศใหญ่ โดยปรกติให้เลิกนุ่งจีบเปลี่ยนเป็นนุ่งโจงอย่างเดิม และให้ใส่เสื้อแขนยาว ชายเสื้อเพียงบั้นเอวแล้วห่มแพรสไบเฉียงบ่านอกเสื้อเป็นต้น"
          หลังจาก พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ผู้หญิงก็ยังคงนิยมนุ่งโจงกันอยู่โดยมากจนถึงสมัยรัฐนิยมดังกล่าวนายกรัฐมนตรีจึงขอให้สตรีไทยเปลี่ยนแปลงการแต่งกายใหม่รวม ๓ ข้อ คือ
         ขอให้สตรีไทยทุกคนไว้ผมยาวตามประเพณีนิยมในสมัยโบราณหรือไว้ผมยาวตามสมัยนิยม (พ.ศ. ๒๔๘๔)
         ขอให้สตรีไทยทุกคนเลิกการใช้ผ้าโจงกระเบน เปลี่ยนเป็นการนุ่งผ้าถุงอย่างสมัยโบราณหรือตามสมัย
         ขอให้สตรีไทยทุกคน เลิกใช้ผ้าผืนเดียวปกปิดท่อนบน คือ ไม่ใช้ผ้าคาดอกหรือปล่อยเปลือยกายท่อนบน ให้ใช้เสื้อแทน
          ต่อมาสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้พิจารณาปรับปรุง และวางหลักในการแต่งกายขึ้นเมื่อ     พ.ศ. ๒๔๙๗ มีทั้งแบบเครื่องเต็มยศ เครื่องครึ่งยศ เครื่องแบบปกติเครื่องราตรีสโมสร เครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ เครื่องแต่งกายธรรมดา เครื่องแต่งกายแบบไทย และเครื่องแต่งกายแบบสากล

          ในปัจจุบัน การแต่งกายของสตรีไทยได้นิยมตามแบบที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพารในพระองค์ แสดงแบบเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๐๗ ณ เวทีสวนอัมพรในโอกาสครบรอบร้อยปีของกาชาดสากล และนิยมเรียกกันว่า ชุดไทยตามพระราชนิยม ต่อมาได้เพิ่มเติมขึ้นมีทั้งหมด ๘ แบบ ดังรายชื่อต่อไปนี้

๑.แบบไทยเรือนต้น
๒.แบบไทยจิตรลดา
๓.แบบไทยอมรินทร์
๔.แบบไทยบรมพิมาน
๕.แบบไทยจักรี
๖.แบบไทยดุสิต
๗.แบบไทยจักรพรรดิ
 ๘. แบบไทยศิวาลัย

สมัยรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ 1-3 พ.ศ. 2325 – 2394 ระยะ 69 ปี 
หญิง 
ผม ไว้ผมปีกประบ่ากันไรผมวงหน้าโค้ง ส่วนบนกระหม่อมกันไรผมเป็นหย่อมวงกลม แบ่งผมออกดูคล้ายปีกนก จึงเรียกผมปีก แต่ไม่ยาวเท่าสมัยอยุธยา ปล่อยจอน ข้างหูยาวแล้ว ยกขึ้น ทัดไว้ที่หู เรียกว่า จอนหูส่วนเด็ก ๆ นิยมไว้ผมจุก 

การแต่งกาย นุ่งผ้าจีบ ห่มสไบเฉียง ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสมัยอยุธยา ชาวบ้านนุ่งผ้าถุง หรือโจงกระเบน สวมเสื้อรัดรูปแขนกระบอก ห่มตะเบงมาน หรือผ้าแถบคาดรัดอก และห่มสไบ เฉียงทับ 
การแต่งกายของคนสามัญ 
            ราษฎรส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นเกษตรกร ทำนา ทำสวน ทำไร่ การแต่งกายของชายหญิงจึง เอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิตแบบเกษตรกร การแต่งกายจึงมีลักษณะทะมัดทะแมง คือ นุ่งผ้าชิ้น เดียว ด้วยวิธีนุ่งถกเขมร เป็นการนุ่งโจงกระเบน แต่ถกให้สั้น เหนือเข่า เพื่อสะดวกในการออกแรง ไม่สวมเสื้อ โพกผ้าที่ศีรษะ ไม่สวมรองเท้า หากอยู่บ้านไม่ทำงานก็นุ่งผ้าลอยชาย หรือนุ่งโสร่งมี ผ้าคาดพุง ในงานเทศกาลมักนุ่งผ้าโจงกระเบนเป็นผ้าแพรสีต่าง ๆ และห่มผ้าคล้องคอปล่อยชาย ยาวทั้งสองไว้ด้านหน้า หรือคล้องไหล่ทิ้งชายไว้ด้านหน้า หรือพาดตามไหล่ไว้ 
ทรงผม ติดเป็นผมปีกหรือผมตัดแบบผู้ชาย 
สตรีชาวบ้านนุ่งผ้าจีบ ห่มสไบ เวลาทำงานห่มตะเบงมาน อยู่บ้านห่มเหน็บหน้าแบบผ้าแถบ เวลาออกจากบ้านห่มสไบเฉียง ถ้าเป็นสตรีสาวตัดผมสั้น แบบดอกกระทุ่ม ปล่อยท้ายยาวงอนถึงบ่า ผู้ใหญ่ตัดผมปีกแบบโกนท้ายทอยสั้น 
ลักษณะการแต่งกายของคนสามัญไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงจนมาถึงสมัยรัชกาลที่4

สมัยรัชกาลที่ ระยะเวลา 17 ปี (พ.ศ. 2394-2411)
                 เนื่องจากสมัยโบราณคนไทยไม่นิยมสวมเสื้อแม้แต่เวลาเข้าเผ้า ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงประกาศให้ข้าราชกาลสวมเสื้อเข้าเฝ้า และทรงสนับสนุนให้มีการศึกษาภาษาอังกฤษ จึงทำให้มีการรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา การแต่งกายของสตรีจึงมีการเปลี่ยนแปลงไป
การแต่งกายของผู้หญิง: ผู้หญิงจะนุ่งผ้าลายโจงกระเบน หรือนุ่งผ้าจีบ ใส่เสื้อแขนยาว ผ่าอก ปกคอตั้งเตี้ยๆ (เสื้อกระบอก) แล้วห่มผ้าแพรสไบจีบเฉียงทับบนเสื้อ ตัดผมไว้ปีกเช่นเดิม แต่ไม่ยาวประบ่า

สมัยรัชกาลที่ 5 ระยะเวลา 42 ปี (พ.ศ. 2411-2453)
               ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ ถือเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของคนไทย เนื่องจากรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จประพาสยุโรป และมีการนำแบบอย่างการแต่งกายของชาวยุโรปกลับมา      ประยุกต์ใช้ในประเทศไทย อีกทั้งในสมัยนี้ยังมีกำเนิดชุดชั้นในรุ่นแรกที่ดัดแปลงจากเสื้อพริ้นเซส ซึ่งต่อมาได้พัฒนาให้เป็นเสื้อชุดชั้นในที่เรียกว่า เสื้อคอกระเช้า ที่ยังคงเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันนี้

สมัยรัชกาลที่ 5 ตอนต้น
            การแต่งกายของหญิง: ผู้หญิงจะนุ่งผ้าลายโจงกระเบน เสื้อกระบอก แขนยาว ผ่าอก ห่มผ้าแพร จีบตามขวาง สไบเฉียงทับบนเสื้ออีกชั้นหนึ่ง ถ้าอยู่บ้านจะห่มแต่สไบ ไม่สวมเสื้อ เมื่อมีงานพิธีจะนุ่งห่ม ผ้าตาด เลิกไว้ผมปี และหันมาไว้ผมยาวประบ่า

สมัยรัชกาลที่ 5 ตอนกลาง
            การแต่งกายของหญิง: ผู้หญิงจะนุ่งผ้าจีบไว้ชายพกแต่หากมีงานพิธีก็ยังคงให้นุ่งโจงกระเบนอยู่ สวมเสื้อแบบตะวันตกแขนยาว ต้นแขนพองแบบหมูแฮม ปกคอตั้ง มีผ้าแพรหรือผ้าห่มสไบเฉียงทับตัวเสื้ออีกที ไว้ผมยาวเสมอต้นคอ สตรีชาววังจะมีผ้าแพรชมพูปักดิ้น มีลวดลายตามยศพระราชทาน สวมรองเท้าบูตและถุงเท้า

สมัยรัชกาลที่ 5 ตอนปลาย
            การแต่งกายของหญิง: ผู้หญิงจะนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแพรไหม ลูกไม้ ตัดแบบตะวันตก แขนยาว พองฟู เอวเสื้อเข้ารูป มีการคาดเข็มขัดหรือสายห้อยนาฬิกา มีสายสะพายผ้าแพร สวมถุงเท้ามีลวดลายและรองเท้าส้นสูงให้ไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม และมักนิยมเครื่องประดับมุกสายสร้อยหลายชั้น

สมัยรัชกาลที่ 6 ระยะเวลา 15 ปี (พ.ศ. 2453-2468)
            การแต่งกายของหญิง: ผู้หญิงเริ่มมีการนุ่งผ้าซิ่นตามพระราชนิยม สวมเสื้อแพรโปร่งบาง หรือผ้าพิมพ์ดอก คอกว้างขึ้น หรือแขนเสื้อสั้นประมาณต้นแขน ไม่มีการสะพายแพร ส่วนทรงผมจะไว้ยาวเสมอต้นคอ ตัดเป็นลอน หรือเรียกว่า ผมบ๊อบ มีการดัดผมด้านหลังให้โค้งเข้าหาต้นคอเล็กน้อย นิยมคาดผมด้วยผ้าหรือไข่มุก

สมัยรัชกาลที่ 7 ระยะเวลา 9 ปี (พ.ศ. 2468-2477)
            การแต่งกายของหญิง: ผู้หญิงเลิกนุ่งโจงกระเบน แต่จะนุ่งเป็นผ้าซิ่นแค่เข่า สวมเสื้อทรงกระบอก ไม่มีแขน ไว้ผมสั้นดัดลอน ซึ่งจะดัดลอนมากขึ้น

สมัยรัชกาลที่ 8 ระยะเวลา 12 ปี (พ.ศ. 2477-2489)
            โดยสรุปแล้วในสมัยนี้จะมีการแต่งกายที่เป็นสากลมากยิ่งขึ้น อีกทั่งยังเป็นยุครัฐนิยมซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กำหนดเครื่องแต่งกายออกเป็น 3 ประเภท
    ใช้ในที่ชุมชน     ใช้ทำงาน      ใช้ตามโอกาส
             ผู้หญิงจะสวมเสื้อแบบไหนก็ได้ แต่ต้องคลุมไหล่ มีการนุ่งผ้าถุง แต่ต่อมาจะเริ่มนุ่งกระโปง หรือผ้าถุงสำเร็จสวมรองเท้า สวมหมวก และเลิกกินหมาก ส่วนผู้ชายจะสวมเสื้อมีแขน คอปิดหรือจะเปิดก็ได้


การแต่งกายสมัยรัฐนิยมและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. ( 2480-2500 ) หน้าที่ 2
                 ผ้าถุงสำเร็จ เริ่มแพร่หลายเข้ามาในเมื่องไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 และมีความนิยม นุ่งกระโปรงกัน ประปราย บ้างแล้ว แต่ก็เป็นความนิยมกันในหมู่สตรีไทย ส่วนใหญ่นิยม นุ่งโจงกระเบน เมื่อรัฐบาลออกประกาศ ให้เลิก นุ่งโจงกระเบน มาใช้ผ้าถุง หรือกระโปรง กันแพร่หลาย และสวมหมวกกันทั่วหน้า สตรีสูงอายุและสตรี ที่ไม่คุ้นเคย กับการนุ่งซิ่น และนุ่งผ้าถุงบางคน แก้ปัญหาด้วยการนุ่งโจงกระเบนไว้ข้างใน แล้วนุ่งซิ่นหรือผ้าถุง ทับเป็นชั้นนอก เวลาอยู่บ้านก็นุ่งแต่โจงกระเบน สตรีที่ทันสมัยก็นิยมนุ่งผ้าถุง ในลักษณะ ถุงสำเร็จ และและนุ่งกระโปรงแบบต่างๆ กาญจนานาคพันธ์ เล่าว่ากระโปรงมีตะเข็บ นิยมนุ่งกันในหมู่ข้าราชการกรมศิลปกรก่อน เป็นกระโปรง สี่ตะเข็บหกตะเข็บ
                ด้วยเห็นความสำคัญของการแต่งกาย รัฐบาลได้จัดตั้ง สถาบันและคณะกรรมการ การวางระเบียบ เครื่องแต่งกายสตรี ทั้งที่เป็นข้าราชการ และที่ตำแหน่งเฝ้า มี หลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธาน ตั้งแต่เดือน สิงหาคม พ.ศ.2484 และต่อมา ได้มีการ จัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ มีสาขาคือ สำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง มีหน้าที่คือ พิจารณา เครื่องแต่งกาย ในโอกาสต่างๆ และกำหนดเครื่องแต่งกายผู้ประกอบอาชีพ บางจำพวก เช่น คนขายอาหาร นักงานเดินโต๊ะอาหาร ( พนักงานเสิร์ฟ ) ช่างตัดผม หญิงตัดผเป็นต้น ทั้งนี้เป็นการ วางระเบียบปฏิบัติ ตลอดจนการให้ความหมาย เครื่องแต่งกายไว้อย่างละเอียด คือ ระเบียบการแต่งกาย ตามกาละเทศะ หมายถึง การแต่งกาย เวลาเช้า เวลาบ่าย เวลากลางคืน สำหรับงานพระราชพิธีและพิธีอื่นๆ ในลักษณะเต็มยศ ครึ่งยศ และ เครื่องแบบปกติ และเครื่องแบบราตรีสโมสร ตลอดจน การแต่งกายธรรมดา ชุดเจ้าสาว และเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์
การสวมหมวกของสตรี
            การสวมหมวก ของสตรีนั้น เป็นเรื่องที่รัฐให้ความสำคัญมาก เน้นว่าเป็นการนำชาติ ไปสู่อารยะ ถึงกับมีคำขวัญว่า ” มาลานำชาติไทย ” เนื่องจากสตรีไม่คุ้นกับการสวมหมวก รัฐจึงมีการประชุมปรึกษาวางระเบียบ เกี่ยวกับ การสวมหมวก และถือเป็น นโยบาย สำคัญ ที่จะต้องดำเนินโดยรีบด่วน และร่วมมือกันมีการกำหนด ประเภทของหมวก ที่ใช้ตามโอกาส ต่างๆ และแบ่งหมวก เป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือประเภททั่วไป และ ประเภทพิเศษ
หมวกประเภททั่วไป
           หมวกประเภททั่วไป หมายถึง หมวกที่ใช้ในการทำงานในชีวิตประจำวัน เพื่อความสุภาพเรียบร้อย สมกับประเพณีนิยม และเพื่อในการกันฝนกันแดด กันน้ำค้าง หมวกประเภทนี้ควรมีลักษณะเรียบๆ ปีกเล็กหรือไม่มีปีก และสีไม่ฉูดฉาด ไม่มีเครื่องประดับมากนัก และควรใช้วัตถุดิบที่หาง่ายในประเทศ เช่น ใบเตย กก ใบลำเจียก ฟาง ใบตาล ใบลาน ไม้ไผ่ ผ้า อาจประดับดอกไม้บ้างเพิ่อความสวยงาม
หมวกประเภทพิเศษ
          หมวกประเภทพิเศษ หมายถึง หมวกที่ใช้เป็นอาภรณ์ประดับเพื่อความงาม มีการประดับประดา ด้วยอาภรณ์ต่างๆ เช่น ดอกไม้หรือเครื่องประดับแรงงาน ใช้ในโอกาสพิเศษเช่น ไปเดินเล่น ไปงานเลี้ยงน้ำชา เป็นต้น
ทรงผมของสตรีไทยในสมัยจอมพล ป. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
         สตรีไทย พึ่งจะเริ่มนิยมผมดัดหลัง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยดัดด้วยไฟฟ้า เป็นลอน มากบ้างน้อยบ้าง และนิยมไว้ผมยาวมากขึ้น มีการดัดยาวและดัดผมสลวย แบบหญิงชาติตะวันตก สำหรับสตรีสูงอายุ มักนิยมเกล้ามวย แต่ส่วนใหญ่แล้ว เป็นมวยแบบเรียบๆ





การแต่งกายของวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน
              การแต่งกายของวัยรุ่นในปัจจุบัน ถูกมองว่าน่าเกลียด ฝ่าฝืนจารีตประเพณี โดยเฉพาะการแต่งกายของวัยรุ่นหญิงที่นุ่งประโปรงสั้น ใส่เสื้อรัดรูป เกาะอก วัยรุ่นชายทำสีผม เจาะหู เจาะลิ้น เจาะคิ้ว ลักษณะการแต่งกายเหล่านี้อาจดูประหลาด ขัดหูขัดตาผู้ใหญ่ หลายคนอาจถามว่าวัยรุ่นไทยแต่งตัวเหมาะสมหรือไม่ ถูกกาลเทศะหรือไม่ เลียนแบบตะวันตกหรือไม่ ทำลายวัฒนธรรมที่ดีงามของไทยหรือไม่ คำถามเหล่านี้ได้รับการถกเถียงระหว่างนักอนุรักษ์นิยมกับหัวก้าวหน้า และดูเหมือนแต่ละฝ่ายจะมองข้ามรายละเอียดบางอย่างไป 


            สิ่งที่สังคมไทยยังขาดอยู่มากก็คือการทำความเข้าใจความหลากหลายของมนุษย์และวิถีชีวิต ถ้าการแต่งกายเป็นการแสดงออกทางสังคมประเภทหนึ่ง ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเผ่าพันธุ์ต่างมีเป็นของตัวเอง กลุ่มผู้หญิงย่อมมีการแต่งกายของตัวเอง เช่นเดียวกับผู้ชาย เกย์ กะเทย วัยรุ่นก็เป็นกลุ่มทางสังคมประเภทหนึ่งที่ต้องการแสดงออก และสื่อสารในสิ่งที่เขาเชื่อว่ามีคุณค่ากับชีวิต การใส่เสื้อผ้าแปลกๆ รัดรูป หรือรุ่มร่าม อาจเป็นการแสดงคุณค่าของตัวตนบางอย่าง เช่นเดียวกับการที่ผู้ใหญ่นิยมสวมชุดไทยผ้าไหม หรือสวมสูทแบบนักธุรกิจแฟชั่นการแต่งกายจึงเป็นทางเลือกที่ไร้ขอบเขต 


            จากการศึกษาของริชาร์ด อัลฟอร์ด(Richard Alford) เรื่องวัฒนธรรมการตกแต่งร่างกายในสังคมพื้นเมือง 60 แห่งทั่วโลกพบว่า 15 เปอร์เซ็นต์ของสังคมเหล่านั้น ผู้ชายไม่นิยามสวมเสื้อผ้า แต่มีเพียง 7เปอร์เซ็น ผู้หญิงไม่สวมเสื้อผ้า หนึ่งในห้าของผู้ชาย และหนึ่งในสามของผู้หญิงจะสวมเสื้อผ้าชิ้นล่าง สองในสามของสังคม 60 แห่งนั้น ชายและหญิงจะสวมเสื้อผ้าทั้งท่อนบนและล่าง หนึ่งในสี่ของสังคมเหล่านี้ จะใช้เปลือกไม้ หรือหนังสือมาเป็นเสื้อผ้า แต่เทคนิคการทอผ้าแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม จากอดีตสู่ปัจจุบัน วิวัฒนาการการแต่งกายของวัยรุ่นไทย เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ส่วนมากเป็นไปในทิศทางที่ไม่เหมาะสม เรา ในฐานะที่เป็นวัยรุ่นไทยควรที่จะประพฤติและปฏิบัติตนให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ



ความแตกต่างในการแต่งกาย
            มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่อ่อนแอที่สุดในทางฟิสิกส์ เพราะผิวหนังของมนุษย์มีความบอบบาง จึงจำเป็นต้องมีสิ่งปกคลุมร่างกายเพื่อสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ จากความจำเป็นนี้จึงเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญในอันที่จะแต่งกาย เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์เอง โดยมีสังคมและสิ่งอื่นๆประกอบกัน และเครื่องแต่งกายก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามสาเหตุนั้นๆ คือ

สภาพภูมิอากาศ
        ประเทศที่อยู่ในภูมิอากาศแถบเส้นอาร์คติก ซึ่งมีอากาศที่หนาวเย็นมาก มนุษย์ในแถบภูมิภาคนี้จะสวมเสื้อผ้าซึ่งทำมาจากหนังหรือขนของสัตว์ เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ส่วนในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนอบอ้าว เสื้อผ้าที่สวมใส่จะทำจากเส้นใย ซึ่งทำจากฝ้าย แต่ในทวีปอัฟริกา เสื้อผ้าไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับใช้ในการป้องกันจากสภาพอากาศ แต่เขากลับนิยมใช้พวกเครื่องประดับต่างๆที่ทำจากหินหรือแก้วสีต่างๆ ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาตินำมาตกแต่งร่างกาย เพื่อใช้เป็นเครื่องลางหรือเครื่องป้องกันภูติผีปีศาจอีกด้วย

ศัตรูทางธรรมชาติ
        ในภูมิภาคเขตร้อน มนุษย์จะได้รับความรำคาญจากพวกสัตว์ปีกประเภทแมลงต่างๆ จึงหาวิธีขจัดปัญหาโดยการใช้โคลนพอกร่างกายเพื่อป้องกันจากแมลง ชาวฮาวายเอี้ยน แถบทะเลแปซิฟิค สวมกระโปรงซึ่งทำด้วยหญ้า เพื่อใช้สำหรับป้องกันแมลง แต่ก็ได้กลายเป็นที่เก็บแมลงเสียมากกว่า ชาวพื้นเมืองโบราณของญี่ปุ่นรู้จักใช้กางเกงขายาว เพื่อป้องกันสัตว์และแมลง

สภาพของการงานและอาชีพ
         หนังสัตว์และใบไม้สามารถใช้เพื่อป้องกันอันตรายจากภายนอก เช่น การเดินป่าเพื่อหาอาหาร มนุษย์ก็ใช้หนังสัตว์และใบไม้เพื่อป้องกันการถูกหนามเกี่ยว หรือ ถูกสัตว์กัดต่อย ต่อมา สามารถนำเอาใยจากต้นแฟลกซ์ ( Flax ) มาทอเป็นผ้าที่เรียกกันว่า ? ผ้าลินิน ? เมื่อความเจริญทางด้านวิทยาการมีมากขึ้น ก็เริ่มมีสิ่งที่ผลิตเพิ่มขึ้นอีกมากมายหลายชนิด สมัยศตวรรษที่ 19 เสื้อผ้ามีการวิวัฒนาการเพิ่มมากขึ้น มีผู้คิดประดิษฐ์เสื้อผ้าพิเศษ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานประเภทต่างๆ เช่น กลาสีเรือล่าปลาวาฬ คนงานเหมืองแร่ เกษตรกร คนงานอุตสาหกรรม ข้าราชการทหาร ตำรวจ พนักงานดับเพลิง เป็นต้น อันตรายต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างปฏิบัติงาน ทำให้ความต้องการของมนุษย์ในด้านเสื้อผ้ามีมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ เสื้อผ้าที่ผลิตขึ้นมานั้นได้มีการปรับปรุงและตกแต่งพิเศษเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับอาชีพต่างๆ เช่น ให้มีความคงทนต่อสารเคมี ทนต่อพิษ และ อุณหภูมิ นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งพิเศษอื่นอีก อาทิเช่น ทนต่อการซักและทำความสะอาด ไม่เป็นสื่อไฟฟ้า ไม่ดูดซึมน้ำ และไม่เป็นตัวนำความร้อน เป็นต้น

ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและศาสนา
        เมื่อมนุษย์มีสติปัญญามากยิ่งขึ้น มีการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มชน และจากการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะนี้เอง จึงจำเป็นต้องมีระเบียบและกฎเกณฑ์ในอันที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยไม่มีการรุกรานซึ่งกันและกัน จากการปฏิบัติที่กระทำสืบต่อกันมานี้เอง ในที่สุดได้กลายมาเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมขึ้น
           ในสมัยโบราณ เมื่อมีการเฉลิมฉลองประเพณีสำคัญต่างๆ เช่น การเกิด การตาย การเก็บเกี่ยวพืชผล หรือเริ่มมีการสังคมกับกลุ่มอื่นๆ ก็จะมีการประดับหรือตกแต่งร่างกาย ให้เกิดความสวยงามด้วยเครื่องประดับต่างๆ เช่น ขนนก หนังสัตว์ หรือทาสีตามร่างกาย มีการสักหรือเจาะ บางครั้งก็วาดลวดลายตามส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อแสดงฐานะหรือตำแหน่ง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีหลงเหลืออยู่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวพื้นเมืองของประเทศต่างๆ ศาสนาก็มีบทบาทสำคัญในการแต่งกายด้วยเหมือนกัน ในสมัยสงครามทางศาสนา เช่น ? สงครามครูเสด ? ซึ่งเป็นสงครามที่ยืดเยื้อนานกว่า 300 ปี การสงครามที่ยาวนานทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างข้าศึกเกิดขึ้น ทำให้ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดและวัฒนธรรมซึ่งกันและกันตามมา

ความต้องการดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้าม
          ธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเจริญเติบโตขึ้น ย่อมมีความต้องการความสนใจจากเพศตรงกันข้าม โดยจะมีการแต่งกายเพื่อให้เกิดความสวยงาม มีการจับจ่ายใช้สอยในเรื่องเสื้อผ้ามากยิ่งขึ้น ผู้ที่ทำหน้าที่สนองความต้องการนี้ได้ดีที่สุดก็คือ นักออกแบบเสื้อผ้า ซึ่งได้พยายามออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามระดับของสังคมและเศรษฐกิจของผู้สวมใส่

เศรษฐกิจและสภาพแวดล้อม
            สถานะภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์ แต่ละบุคคลย่อมไม่เหมือนกัน จึงทำให้เกิดการแต่งกายที่แตกต่างกันออกไป สังคมทั่วไปมีหลายระดับชนชั้น มีการแบ่งแยกกันตามฐานะทางเศรษฐกิจ เช่น ชนชั้นระดับเจ้านาย ชาวบ้าน และกรรมกร การแต่งกายสามารถบอกได้ถึงสถานภาพทางสังคมของผู้สวมใส่ได้อีกด้วย

             ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมประจำชาติที่เป็นของตนเองมาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นศิลปะไทย มารยาทไทย ภาษาไทย อาหารไทย และชุดประจำชาติไทยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมีคุณค่า มีความงดงามบ่งบอกถึงเอกลักษณ์แห่งความเป็น "ไทย" ที่นำความภาคภูมิใจมาสู่คนในชาติ 
           การแต่งกายของไทยโดยเฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ซึ่งมีอายุยาวนานมากกว่า 200 ปีนั้น ได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับนับตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนกลาง ยุคเริ่มการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือ ยุค "มาลานำไทย" และ จนปัจจุบัน "ยุคแห่งเทคโนโลยีข่าวสาร" 
           แต่ละยุคสมัยล้วนมีรูปแบบการแต่งกายที่เป็นของตนเองซึ่งไม่อาจสรุปได้ว่า แบบใดยุคใดจะดีกว่า หรือ ดีที่สุด เพราะวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรม ล้วนต้องมีการปรับเปลี่ยนบูรณาการไปตามสิ่งแวดล้อมของสังคมแล้วแต่สมาชิกของสังคมจะคัดสรรสิ่งที่พอเหมาะพอควรสำหรับตน พอควรแก่โอกาส สถานที่และกาลเทศะ
ในสมัยปัจจุบันนี้แนวการแต่งตัวของเด็กไทยได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนนั้นอยู่มากหากย้อนอดีตไปการแต่งตัวของเด็กไทยจะอิงตามแฟชั่นกระแสหลัก หรือตามนักร้อง - นักแสดงที่โด่งดังราวกลับเดินออกมาจากปกเทปหรือนิตยสารแล้ว copy & paste  ออกมา ดูแล้วคล้ายสินค้าจากโรงงานผลิตเดียวกัน ทว่าตอนนี้  การแต่งตัวของเด็กไทยมีอยู่มากมายหลายแนวมากขึ้น มีความหลากหลายทางเทรนด์ให้เด็กไทยเราได้เอาตัวตนเข้าไปอิงในเทรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ รับอิทธิพลการแต่งตัวมาจากฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก  ทำให้เด็กไทยมีทางเลือกในการแต่งตัวที่มากขึ้น บางคนชอบแนวทางแต่งตัวจากฝั่งตะวันตก ก็จะแต่งตัวตามแบบตะวันตก บางคนชอบแนวทางแต่งตัวจากฝั่งตะวันออก ก็จะแต่งตัวตามแบบตะวันออก  มีแนวการแต่งตัวหนึ่งแนวที่อยากนำเสนอนั้นคือ  แนวการแต่งตัวของประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลี ตามกระแสความนิยมในญี่ปุ่นและเกาหลีเรื่องอื่นๆอีก เช่น การดื่มน้ำชาเขียว กินปลาดิบ เป็นต้น
กระแสความนิยมญี่ปุ่นและเกาหลีนั้นมีมาตั้งนานเกือบๆ 10 ปีแล้ว ในช่วงต้นๆ กระแสนี้ยังไม่แพร่หลายมากนัก จะมีแค่กลุ่มย่อยๆมากกว่า กลายเป็นกลุ่มที่มีลักษณะเพาะตัว เฉพาะบางข้อจำกัดเท่านั้นที่มีอำนาจในการเข้าถึงกระแสดังกล่าว  แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มย่อยๆนั้นกล่าวก็ได้ขยายวงกว้างออกไปจนทำให้มีผู้รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้กระแสความนิยมญี่ปุ่นและเกาหลีได้เป็นที่รู้จักกันไปทั่วแล้ว
                การที่เด็กไทยนั้นได้รับอิทธิพลการแต่งตัวแบบเด็กญี่ปุ่นและเกาหลีนั้น ทำให้นั้นเกิดการเลียนแบบและพยายามทำตัวให้เหมือนเด็กญี่ปุ่นและเกาหลี เนื่องจากเกิดจากการเทียบทางวัฒนธรรม และต้องการเป็นในแบบที่เชื่อว่าอยู่ในวัฒนธรรมที่มีชนชั้นที่สูงกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วการแต่งตัวของเด็กญี่ปุ่นและเกาหลีที่อยู่ในประเทศของต้นแบบนั้นจริงๆ นั้นมีการแต่งตัวที่มีสไตล์การแต่งตัวที่หลายหลายมากกว่าที่เด็กไทยประเทศไทยบริโภคอยู่มาก การที่เด็กไทยรับสไตล์การแต่งตัว มานั้น ยังถือว่าน้อยอยู่ในตอนนี้  เป็นแค่เพียงการเลียนแบบเฉพาะบางส่วน และค่อนข้างเป็นสภาวะไร้ราก กล่าวคือเป็นการ copy  ในส่วนของรูปแบบ แต่ไม่ได้ศึกษาถึงกระบวนการสร้างความเป็นญี่ปุ่นและเกาหลี อย่างไรก็ตามเด็กไทยก็มีแนวโน้มว่าจะรับเอาสไตล์การแต่งตัวของเด็กญี่ปุ่นและเกาหลีเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต 

การแต่งกายของวัยรุ่นในปัจจุบัน ถูกมองว่าน่าเกลียด ฝ่าฝืนจารีตประเพณี โดยเฉพาะการแต่งกายของวัยรุ่นหญิงที่นุ่งประโปรงสั้น ใส่เสื้อรัดรูป เกาะอก วัยรุ่นชายทำสีผม เจาะหู เจาะลิ้น เจาะคิ้ว ลักษณะการแต่งกายเหล่านี้อาจดูประหลาด ขัดหูขัดตาผู้ใหญ่ หลายคนอาจถามว่าวัยรุ่นไทยแต่งตัวเหมาะสมหรือไม่ ถูกกาลเทศะหรือไม่ เลียนแบบตะวันตกหรือไม่ ทำลายวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย ซึ่งเป็นการยอมรับวัฒนธรรมที่ผิดๆ  ของชาวต่างชาติเข้ามา  ในปัจจุบันเป็นปัญหาระดับชาติที่เราจะต้องนำมาคิดและพิจารณาว่าจะแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร  เยาวชนคือผู้ที่จะต้องรักษาวัฒนธรรมสืบต่อไป  จะเป็นอย่างไรถ้าเรารับแต่วัฒนธรรมที่ผิด  และลืมวัฒนธรรมของไทยเราเอง








เอกสารอ้างอิง
๑.คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ,สำนักงาน.เสื้อชุดไทย กรุงเทพ
.โรงพิมพ์คุรุสภา,๒๔๓๗. ๖๒ หน้า
.























ข้อมูลผู้เขียน



นายเพชรนาธาน         พุฒฑิตวงศ์
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4/12


นายภาณุวิชญ์                    เวียงคำ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4/12


  นายสฤษฎ์พร                   แก้วเวหา
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4/12


                                                                 นายศักรินทร์                    ทองปรุง
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4/12